Adjective

Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำที่ไปทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร ได้แก่คำว่า

good ดี bad เลว tall สูง dirty สกปรก wise ฉลาด red แดง fat อ้วนthin ผอม this นี้

those เหล่านั้นshort สั้นwhite ขาว

Kind of Adjective

Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ

1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ

2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ

4. Numb earl Adjective คุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน

5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ

6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำถาม

7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ

8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก

9. Emphasizing Adjective คุณศัพท์เน้นความ

10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์

1. Descriptive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่เพื่อให้รู้ว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำว่า

good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agley, happy, sorry, etc.

ตัวอย่างเช่น :

The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่)

ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็นคุณศัพท์บอกลักษณะ

2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่

Proper Noun Proper Adjective คำแปล

(เป็นนามเฉพาะ) (เป็นคุณศัพท์บอกสัญชาติ)

America American อเมริกา, คนอเมริกัน

ตัวอย่างเช่น :

The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)

ข้อสังเกต :English เป็นคำคุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantities Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำนวนแน่นอน)ได้แก่

much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficient, etc.

ตัวอย่างเช่น :

He ate much rice at school yesterday (เขากินข้าวมากที่โรงเรียนเมื่อวานนี้)

ข้อสังเกต : Much ในประยคนี้ เป็นคำคุณศัพท์บอกปริมาณ

4. Numeral Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน" หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจำนวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ

4.1 Cardinal Numeral Adjective คือคุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่ one, two, three, four, five, six, seven, etc.

ตัวอย่างเช่น :

She gave me two apples and three organs.หล่อนให้แอปเปิ้ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน)

ข้อสังเกต : two เป็นคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอนวางไว้หน้านาม

4.2 Ordinal Numeral Adjective คือ "คำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก first, second, third, fifth, six, seventh, etc

ตัวอย่างเช่น :

Tom is the first boy to be rewarded in this school. (ทอมเป็นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรียนนี้)

ข้อสังเกต : first เป็นคุณศัพท์บอกลำดับที่วางไว้หน้านาม

4.3 Multiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม

ได้แก่ double, triple, fourfold

ตัวอย่างเช่น :

Some roses are double.(ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น)

5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คําที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์),

these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same

ตัวอย่างเช่น:

I invited that man to come in.(ฉันได้เชิญผู้ชายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน)

ข้อสังเกต: That เป็นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม

6. Interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคําถามหมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคําถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ What, which, whose

ตัวอย่างเช่น:

What book is he reading in the room? (เขากําลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง)

ข้อสังเกต: what เป็นคุณศัพท์บอกคําถามอยู่หน้าประโยค

7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my, our, your, his, her, itsและ their

ตัวอย่างเช่น :

This is my table. (นี่คือโต๊ะของฉัน)

ข้อสังเกต : my เป็นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม

8. Distributive Adjective คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อันใดก็อันหนึ่ง), neither(ไม่ทั้งสอง)

ตัวอย่างเช่น :

The two men had each a gun.(ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)

ข้อสังเกต: each เป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม

9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ)

ตัวอย่างเช่น:

Linda said that she had seen it with her own eyes.

(ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)

ข้อสังเกต : own เป็นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนําหนักขึ้น

10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็นคําอุทาน ได้แก่ what

ตัวอย่างเช่น:

What a man he is!(เขาเป็นผู้ชายอะไรนะเนี่ย!)

What an idea it is!(มันเป็นความคิดอะไรกันหนอ!)

What a piece of work he does!(เขาทํางานได้เยี่ยมจริงๆ!)

ข้อสังเกต : what ทั้ง 3 คํา ในประโยคเหล่านี้เป็นคุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทําหน้าที่คล้ายส้นธาน

เชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่

what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)

ตัวอย่างเช่น:

Give me what money you have.(จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยู่แก่ฉัน)

ข้อสังเกต : What เป็นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย

Adjective เวลานำไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ

1. เรียงไว้หน้าคำนามที่คุณศัพท์นั้นไปขยายโดยตรงได้ เช่น

* The thin man can run very quickly.(คนผอมสามารถวิ่งได้เร็วมาก)

2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel, seem, get, taste, smell,

turn, go, appear, keep, become, sound, grow, etc. ก็ได้ Adjective

ที่เรียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา

เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น

* I'm feeling a bit hungry. (ฉันรู้สึกหิวนิดๆ)

ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็น Adjective เรียงไว้หลัง กริยา feeling และ tastes ทั้งนั้น

3. เรียงคำนามที่ไปทำหน้าที่เป็นกรรม (Object) ได้ ทั้งนี้เพื่อ

ช่วยขยายเนื้อความของกรรมนั้นให้สมบรูณ์ขึ้น Adjective ที่ใช้ใน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นObjective Complement เช่น

* Sam made his wife happy. (แซมทำภรรยาของเขาให้มีความสุข)

ข้อสังเกต: happy, mad และ foolish เป็น Adjective ให้เรียง หลังนาม และสรรพนามที่เป็น Object คือ wife, man, me

4. เรียง Adjective ไว้หลังคำนามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำหน้าที่เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมี

บุพบทวลี (Prepositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น

* A parcel posted by mail today will reach him tomorrow.(พัสดุที่ส่งทางไปรษณีย์วันนี้จะถึงเขาวันพรุ่งนี้)

ข้อสังเกต: Posted เป็น Adjective เรียงตามหลังนาม parcel ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today มาขยายตามหลัง

* I have known the manager suitable for his position.(ฉันได้รู้จักผู้จัดการซึ่งก็มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งของเขา)

ข้อสังเกต: Suitable เป็นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position มาขยายตามหลัง

· ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjective บางตัวเมื่อไปขยายนาม การใช้ Adjective ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง 4 นั้น หมายถึง Adjective ทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นAdjective ที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ นั้นคือ

Adjective - Equivalent คือ "คำที่ใช้เสมือนเป็นคุณศัพท์" ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คำที่จะนำมาใช้เสมือนหนึ่ง เป็นคุณศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้

1. คำนาม (Noun) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น

* Yale University is the place for political studies.(มหาวิทยาลัยเยลเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาวิชาการเมือง)

ข้อสังเกต : Yale เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยาย university ซึ่งเป็นนามด้วยกัน

* My younger brother wishes to study at Suan Dusit College.(น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนที่วิทยาลัยสวนดุสิต)

ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็นนาม แต่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้

* They have worked in New York City for two years.

(พวกเขาได้ทำงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 2 ปีแล้ว)

ข้อสังเกต : New York เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามที่ตามหลัง คือ City

2. คำนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนั้น นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนั้นตลอดไป เช่น

* John's house was built in Denver five years ago.

(บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ที่เดนเวอร์ เมื่อ 5 ปีมาแล้ว)

ข้อสังเกต : เป็นคำนามที่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม House ได้

* The teacher's table is larger than the students. (โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่)

ข้อสังเกต : Teacher’s เป็นนาม นำมาใช้บยายนาม table ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ได้

3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช่น

* He has no money to give me for buying a pen. (เขาไม่มีเงินที่จะให้ฉันซื้อปากกา)

ข้อสังเกต : To give เป็น Infinitive นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนาม money ได้

* This book is good for you to read. (หนังสือเล่มนี้ดีสำหรับคุณที่จะอ่าน)

ข้อสังเกต : To read เป็น Infinitive นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้

4. Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายทุกครั้ง เช่น

* The standing boy is afraid of the running dog. (เด็กชายที่ยืนอยู่กลัวสุนัขที่วิ่งมา)

ข้อสังเกต : Standing, running เป็น Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้

5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำมาใช้อย่างนามซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนั้นตลอดไป เช่น

* Now he is waiting for you in the meeting room. (เดี๋ยวนี้เขากำลังรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม)

ข้อสังเกต : Meeting เป็น gerund นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม room

6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น

* The man in this room is our guest. (ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็ฯแขกของเรา)

ข้อสังเกต : in this room เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์มาขยายนาม man ที่อยู่ข้างหน้า

* He wants to buy the corner. (เขาต้องการซื้อบ้านที่อยู่มุมถนนนั้น)

ข้อสังเกต : On the corner เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ที่อยู่ข้างหน้า

7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น

* This is the house that Jack built. (นี้คือบ้านที่แจ๊คสร้างเอาไว้)

ข้อสังเกต : That Jack built เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามhouse ที่วางอยู่ข้างหน้า

* I know Mr. Clinton whom you want to see.(ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซึ่งคุณต้องการพบ)

ข้อสังเกต : Whom you want to see เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำ หน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามMr. Clinton ซึ่งวางอยู่ข้างหน้า